วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

การแต่งหน้า หวีขนตา... ใช้ยังไงดี

การแต่งหน้า หวีขนตา... ใช้ยังไงดี
หวีขนตา... ใช้ยังไงดี (Lisa)
          สำหรับบางคนแล้วหวีอันเล็กๆ สำหรับแต่งขนตาดูเป็นอะไรที่แสนยุ่งยาก แต่สำหรับช่างแต่งหน้ามืออาชีพหลายคน มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แสนมหัศจรรย์ ซึ่งช่วยให้ขนตาเรียงเส้นสวยและไม่จับกันเป็นก้อน แต่จะใช้อย่างไรน่ะหรือ...
          เริ่มด้วยการทามาสคาร่าเฉพาะโคนขนตา
          จากนั้นใช้หวีขนตาอันเล็กหวี จากโคนขนตาไปหาปลายมันจะแยกขนตาออกจากกัน

          และพามาสคาร่าจากโคนขนตาขึ้นไป ปลายขนตา ทำให้สีมาสคาร่าเคลือบเส้นขนตาในแบบพอเหมาะพอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป

          อ้อ.... อย่าลืมรอสักห้าวินาทีล่ะก่อนที่จะกะพริบตา ถ้าคุณไม่อยากให้มีสีติดที่เปลือกตา

          แต่ถ้าลองใช้ดูไม่ถนัดวิธีง่าย ที่สุดเช็ดแปรงมาสคาร่าทุกครั้งก่อนปัดขนตาเนื้อมาสคาร่าที่เหลือแต่พอ ประมาณบนแปรงจะทำให้ขนตาไม่จับกันเป็นก้อน

การแต่งหน้า วิธีแต่งหน้า 25 ไอเดียเด็ด

การแต่งหน้า วิธีแต่งหน้า 25 ไอเดียเด็ด
25 NEW MAKE UP TIPS (ผู้หญิงวันนี้)

 ไอเดียเด็ดเติมสวยครบสูตร
          นานาเคล็ดลับถูกสร้างสรรค์ และบอกเล่าให้เราได้อัพเดตกันในทุกฤดูกาล...25 ไอเดียล่าสุดมีอะไรบ้าง เราขอนำมาฝากชนิดเน้นเป็นส่วนๆ เลยทีเดียว
Eyes

          1 สีม่วงลาเวนเดอร์กำลังมาแรง ที่สำคัญยังเหมาะกับทุกสีตาอีกด้วย (แต่คนผิวเข้มควรพิถีพิถันเลือกเฉดที่เหมาะกับตัวเองสักหน่อย) ว่าแล้วลองใช้แบบครีมบ้างก็ไม่เลว (stila shadow pots eye mousse)

          2 ปรารถนาใบหน้าสว่างใส ให้ตบท้ายด้วยการใช้ไลเนอร์สีบรอนซ์วาดให้ชิดขอบตานอกจากจะขับสีอายแชโดว์ ให้เรืองระยับ ก็ยังทำให้ใบหน้าสว่างวาวขึ้นอีกด้วย

          3 อยากแต่งตาแบบสโม็กกี้อายส์ แต่ก็กลัวว่าจะดูดุดันเกินไป ลองหันมาแต่งด้วยอายแชโดว์สีบรอนซ์ แล้ววาดไลเนอร์สีเทาริมขอบตา เท่านี้ก็ดูเซ็กซี่ไปอีกแบบ

          4 ลบรอยตำหนิง่ายๆ ด้วยการนำมอยส์เจอไรเซอร์แบบออยล์ฟรีมาป้ายไว้บนหลังมือจากนั้นนำแผ่นสำลีมา ซับเบาๆ ทิ้งไว้จนเกือบแห้งแล้วใช้สำลีแผ่นนี้แต้มตรงรอยตำหนิเท่านี้รอยต่างๆ ก็หลุดออกอย่างง่ายดาย

          5 แก้ไขดวงตาที่อ่อนล้า หรือเมื่อดวงตามีสีแดงๆ จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ด้วยการนำดินสอเขียนขอบตาที่มีสีใกล้เคียงกับสีผิววาดให้ชิดริมขอบตาล่าง (แทนที่จะใช้สีขาว)
Cheeks

          6 หากชื่นชอบสีสันที่เป็นธรรมชาติ ลองนำรองพื้นแบบลิควิดมาแต้มเกลี่ยอย่างเบาบางลงบนแก้มที่ลงบลัชออนแล้ว จะได้สีสันใหม่ที่ดูกลมกลืนกับการแต่งหน้ามากขึ้น

          7 หากมีพวงแก้มกลม ให้ลงบลัชออนกลางพวงแก้มแล้วปัดเฉียงขึ้นไปยังบริเวณโหนกแก้ม แต่หากกลมกลึงเสียจนดูไม่ออก ลองยิ้มหน้ากระจกเพื่อมองหาตำแหน่ง เท่านี้ก็ดูเพรียวผอมไปเยอะ

          8 เลือกสีปากและสีแก้มให้กลมกลืนกัน แล้วปล่อยสีตาโดดเด่นกว่า

          9 เลือกชุดแปรงขนาดเล็ก หากไม่ต้องการความยุ่งยาก และลงรายละเอียดอะไรมากมาย (ประมาณแปรงชุดเดินทาง) แต่ควรเลือกขนแปรงที่มีคุณภาพสูง เพราะจะช่วยเรื่องการควบคุมเม็ดสีได้มาก (Bobby Brown’s Travel Set)

          10 ใบหน้าที่ดูใสสว่าง ทำได้โดยเลือกบลัชออนโทนสีชมพูที่จะทำให้ดูอ่อนวัย และสดใสอยู่เสมอ คนผิวคล้ำไม่ต้องกังวลใจ เพราะเดี๋ยวนี้มีสีชมพูให้เลือกหลายเฉดสีปัดบริเวณพวงแก้มแล้วอย่าลืมปัด ข้ามไปมาระหว่างแก้ม (ปัดผ่านจมูก) จะทำให้ดูเรื่องแดดแบบธรรมชาติ

Skin

          11 หากกังวลเรื่องความมัน ขณะลงครีมรองพื้นให้นำพัฟฟ์จุ่มน้ำพอหมาดลูบไล่ครีมรองพื้นให้ทั่วใบหน้าแทน ที่จะให้พัฟฟ์แห้งๆ เพราะความชุ่มชื้นจากน้ำจะช่วยคงความยาวนานของเนื้อครีม และทำให้เครื่องสำอางติดทนกว่า

          12 ลำคอก็เป็นจุดสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้ามเลือก Primer ที่มี Silicone-base เป็นส่วนผสมด้วยแป้งฝุ่นทุกครั้งจะทำให้ลำคอดูเรียบเนียนและลดรอยพับดูจางลง (Laura Mercier’s Primer)

          13 อยากได้ผิวแทนดูเป็นธรรมชาติ แต่ไม่อยากใช้ผลิตภัณฑ์สร้างผิวแทนที่ดูมันวาวระยิบระยับ ลองใช้แป้งฝุ่นที่มีสีเข้มกว่าอีก ระดับมาปัดสร้างแสงเงาบนใบหน้า นอกจากไม่วาววับแล้ว ยังทำให้ผิวดูบ่มแดดอีกด้วย

          14 คงสีสันเครื่องสำอางให้ยาวนาน ด้วยการพรมสเปรย์ มอยส์เจอไรเซอร์ (Water-base Spritz) หลังการแต่งหน้าทุกครั้งจะช่วยให้สีสันเครื่องสำอางดูสดใส และขับใบหน้าให้เปล่งประกายดูสดชื่น

          15 มีปัญหาหมองคล้ำใต้ดวงตา ลองหันมาใช้ครีมรองพื้นที่มีสีสว่างกว่าผิวหนึ่งระดับมาแต้มแทนคอนซีลเลอร์ อย่างน้อยก็ดูเป็นธรรมชาติกว่า แถมยังประหยัดด้วยปริมาณที่มากเสียด้วย
Lashes & Brows
          16 เลือกใช้กาวต่อขนตาแบบสีเข้ม เพราะนอกจากจะดูกลมกลืนไปกับดวงตาแล้ว หากเกิดรอยตำหนิก็ยังดูผิดพลาดน้อยกว่ากาวแบบสีขาว

          17 ลองแต่งคิ้วแบบสองสี เช่นเดียวกับที่โลเบล ช่างแต่งหน้าประจำตัวของนาตาลีพอร์ตแมนเลือกแต่งหัวคิ้วของนาตาลีไปจนถึงรอย โค้งด้วยสีเทา แล้วตบท้ายด้วยสีน้ำตาลจากส่วนโค้งไปจนถึงปลายคิ้ว

          18 มาสคาร่าทำงานไม่ต่างจากแฮร์สเปรย์ ดังนั้นหลังจากดัดขนตาแล้วให้รีบปัดมาสคาร่าทันที เพื่อคงความงอนงาม และคงรูปทรงที่ต้องการ

          19 อยากให้ขนคิ้วดูเงางาม แต่ไม่แข็งและเหนียวเหนอะเหมือนเอามาสคาร่ามาปัดทำได้โดยนำแปรงมาสคาร่า สะอาดๆ มาแต้มกับวาสลีนแล้วปัดขนคิ้วไล่ไปจนถึงปลายคิ้ว วิธีนี้จะช่วยให้คิ้วดูหนาและเงางามยิ่งขึ้น

          20 ใส่ใจขนตาด้านนอก หากต้องการเปิดดวงตาให้สว่างสดใส วิธีการคือคัดขนตาริมนอกให้งอนขึ้น แล้วปัดไล่โดยเน้นขนตาด้านนอกให้มากที่สุด

Lips
          21 ลดอาการปากแห้งเสีย (แถมเผลอๆ ยังมีเลือดซึม) ด้วยการลงลิปบาล์มชนิดชุ่มชื่นทุกครั้งก่อนลงลิปสติก (Burt’s Bees)

          22 หากทาลิปกลอสแล้วรู้สึกชุ่มหนาจนเกินงาม ลองจุ๊บเบาๆ ที่หน้ามือแล้วเช็ดออกจะทำให้สีลิปสติกเบาบาง และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่วนการซับด้วยกระดาษทิชชู่นั้นจะทำให้สีสันหลุดออกมากเกินไป

          23 หลังทาลิปสติกและลิปกลอส เสร็จสรรพซับและเกลี่ยอีกทีด้วยแปรงเล็กเนื้อนุ่มเพื่อกระจายเม็ดสีและความ มันวาวให้ทั่วถึง (Shu Uemura No 6M) ทั้งนี้ยังช่วยลบร้อยตำหนิให้หมดไปอีกด้วย

          24 อยากทาลิปสวยเหมือนดารา ลองนำลิปกลอสสีโปรดมาแต้มบริเวณริมฝีปากด้านในทั้งบนและล่างหลังทาลิปสติก เสร็จการลงไฮไลต์แบบนี้จะทำให้ริมฝีปากดูมีมิติมากขึ้น

          25 เคล็ดลับในการทาลิปสติกให้ติดทน คือการขัดริมฝีปากด้วยแปรงขนนุ่ม อาทิตย์ละครั้ง นอกจากจะได้เรียวปากสุขภาพดีแล้วยังทำให้ทาลิปสติกติดทนอีกด้วย

การแต่งหน้า ปฏิวัติการแต่งหน้า...บอกลาข้อห้ามสุดเชย

การแต่งหน้า ปฏิวัติการแต่งหน้า...บอกลาข้อห้ามสุดเชย

ปฏิวัติการแต่งหน้า...บอกลาข้อห้ามสุดเชย (ผู้หญิงวันนี้)


1.  สูตรเก่า : เครื่องสำอางแบบชิมเมอร์ไม่เหมาะสำหรับกลางวัน (แถมอายุมากกว่า 30 ไม่ควรใช้)
          ปฏิวัติใหม่ : สวยด้วยชิมเมอร์ ทั้งกลางวันยันกลางคืน (แถมสวยได้ทุกวัย อีกต่างหาก!)

          เพราะความหรูหราเป็นของควรค่าสำหรับ ผู้หญิง ที่สำคัญชิมเมอร์ยังช่วยทำให้ผู้หญิงอย่างเราๆ ดูสวยแบบลดวัย ปรับผิวให้ดูสดใส และยังทำให้ใบหน้าดูเรืองรองวาววับ น่าจับจ้องอีกต่างหาก นับข้อดีได้ครบสามประการเช่นนี้แล้ว เรายังจะรีบปาของดีทิ้งก่อนอายุขึ้นเลข 3 ได้อย่างไร หากแต่เคล็ดลับอยู่ที่การเลือกเฉดสีที่เหมาะกับสภาพผิว และเลือกเน้นความมันวาวบนใบหน้าไม่เกินสองตำแหน่ง เช่น หากต้องการเน้นดวงตาและริมฝีปาก ก็ควรปล่อยให้พวงแก้มเป็นสีแมทท์ เท่านี้ก็สวยกลางวันยันกลางคืนได้แล้ว

2.  สูตรเก่า : เลือกสีลิปสติกให้เหมาะกับการแต่งหน้าโดยรวม

          ปฏิวัติใหม่ : แม็ทช์สีลิปสติกให้เหมาะกับสีผิว

          อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าการเลือกลิปสติก ต้องเลือกเฉพาะเฉดสีที่ชอบ หรือสีที่เข้ากับเครื่องสำอางที่มีอยู่ แต่เราขอแนะนำให้คุณทำตัวเจ้าเล่ห์นิดๆ โดยการเลือกสีลิปสติกที่เข้ากับสีผิวของคุณจริงๆ เช่น เลือกมาสักหนึ่งสีที่เข้ากับสีปากของคุณเด๊ะๆ เช่น สีชมพูอมนู้ด และสีแดงกุหลาบ ที่ค่อนข้างจะเหมาะกับหลายสีผิว จากนั้นเลือกอีกสักสีที่สว่างกว่าสีผิว (ในหมวดสีเดียวกัน) เพื่อนำไปผสมหรือใช้โดดๆ เพื่อทำให้ใบหน้าดูสว่างขึ้น

3.  สูตรเก่า : นวลเนียนด้วยการใช้ครีมรองพื้น
          ปฏิวัติใหม่ : ใช้ครีมรองพื้นปกปิดเฉพาะตำหนิและรอยแผล

          รู้หรือเปล่าว่าครีมรองพื้นนี่ล่ะ คือตัวเร่งการเสื่อมสภาพของผิวหน้า เพราะฉะนั้น จะดีสักแค่ไหนถ้าปล่อยให้ผิวหายใจบ้าง และนำเจ้าครีมหนาหนักตัวนี้มาทำหน้าที่ปกปิดจุดด่างดำ และรอยตำหนิต่างๆ บนใบหน้า แบบเฉพาะที่แทน ยกตัวอย่างเช่น แต้มครีมรองพื้นบนบริเวณที่มีรอยแดง เช่น จมูก แก้ม หรือคาง แล้วใช้ฟองน้ำเกลี่ยไล้ไปทางไรผม จากนั้นใช้แป้งฝุ่นกดซับบนใบหน้าอีกครั้ง แล้วใช้เครื่องสำอางอื่นๆ ตามปกติ แค่นี้ใบหน้าก็เบาสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องสิวอุดตันอีกต่อไป

4.  สูตรเก่า : วาดลิปไลเนอร์ก่อนลงลิปสติกทุกครั้ง          ปฏิวัติใหม่ : ใช้ลิปไลเนอร์เฉพาะโอกาสพิเศษก็พอ

          จริงอยู่ว่าดินสอเขียนขอบปากจะทำให้รูปปากดู ชัดและสวยคมยิ่งขึ้น แต่หากให้นึกดูอีกที ก็ดูออกจะจริงจังในการแต่งหน้ามากไปสักหน่อย ยิ่งเทรนด์สมัยนี้ที่เน้นความสวยแบบธรรมชาติด้วยแล้ว เราจึงขอแนะนำให้คุณหยิบใช้เฉพาะวันสำคัญๆ ก็พอ ส่วนในวันธรรมดาลองมองหาพู่กันปลายแหลม ที่สามารถวาดขอบปากได้มาแทนที่ แม้จะไม่คมกริบเท่าดินสอ แต่เชื่อเถอะว่าจะทำให้คุณดูเป็นธรรมชาติมากกว่า และหากรอยลิปสติกจางไปก็ยังสามารถเติมได้ ไม่ดูน่าขันเหมือนตอนที่เหลือเฉพาะรอยดินสออย่างเดียวสักนิด

5.  สูตรเก่า : เลือกอายแชโดว์ให้เข้ากับสีดวงตา

          ปฏิวัติใหม่
: ยิ่งเป็นอายแชโดว์ ยิ่งต้องตรงกันข้าม

          เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะหากยังเลือกสีที่เข้ากับสีตาเด๊ะๆ เช่น ถ้าดวงตาสีดำ หรือน้ำตาลก็เลือกสีเอิร์ธ โทน หรือถ้าดวงตามีสีสัน (ชาวตะวันตก) ก็เลือกสีที่เข้ากับสีตานั้นๆ การเลือกสีแบบนี้จะยิ่งทำให้คุณดูไม่น่าสนใจเข้าไปอีก จึงดีกว่าเป็นไหนๆ หากจะเลือกสีสันที่ตรงกันข้ามกับดวงตาเพื่อให้คุณดูเด่นเด้งขึ้นบ้าง ขอแนะนำสำหรับสาวไทยที่มีตาสีดำถึงน้ำตาล ในการเลือกสีเขียวมรกต ไปจนถึงสีฟ้าเข้ม เพราะจะช่วยขับสีสันให้สดใสมากขึ้นกว่าเก่า (แต่อย่าลืมดูสีผิวตัวเองด้วยล่ะ)

6.  สูตรเก่า : เติมอายแชโดว์หลังการแต่งหน้า

          ปฏิวัติใหม่
: เติมอายแชโดว์เป็นอย่างแรก

          เหตุที่ช่างแต่งหน้ามักเติมอายแชโดว์หลังสุด ก็เพราะไม่ต้องการให้สีสันเปรอะเปื้อนใบหน้า และหากผิดพลาดไป ก็ทำให้ต้องลบและลงครีมรองพื้นใหม่อีกครั้ง คำแนะนำจากเราคือลงอายแชโดว์เป็นอย่างแรก โดยเริ่มจากการลงรองพื้นทั่วใบหน้า เติมแป้งฝุ่น แล้วลงสีสันบริเวณดวงตาตามที่ต้องการเขียนอายไลเนอร์ และปัดมาสคาร่าให้เสร็จสรรพ จากนั้นจึงไล่กลับไปที่การลงคอนซีลเลอร์ ปัดแก้ม และลงลิปสติกตามปรกติ โดยหลีกเลี่ยงบริเวณดวงตาหรือการเติมซ้ำ แค่นี้ก็จะประหยัดเวลา และพลังงานไปได้เยอะ

7.  สูตรเก่า : ใช้แปรงให้เหมาะกับการแต่งหน้า
 
          ปฏิวัติใหม่ : นิ้ว นี่ล่ะ สุดยอดแปรงชั้นดี

          ไม่ ปฏิเสธค่ะว่าแปรงแต่ละประเภทที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการแต่งหน้า ต่างก็ช่วยให้การเติมเต็มสีสันเป็นไปอย่างง่ายดาย และทำให้การแต่งหน้าดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น แต่ผู้หญิงอย่างเราๆ ใช่ว่าจะแต่งแบบฟูลออพชั่น ประหนึ่งช่างแต่งหน้ามืออาชีพในทุกวันซะที่ไหน การลงทุนเรื่องอุปกรณ์เสริมจึงควรทุ่มทุนแต่พอเหมาะ ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้นิ้วเรียวๆ ของเราทำหน้าที่นี้ไปเถอะค่ะ เช่น การใช้นิ้วกลางในการเกลี่ยอายแชโดว์สีหลักให้ทั่วเปลือกตา ก่อนที่จะใช้นิ้วนางทาสีเข้มบริเวณหางตา เพื่อลงแสงเงา และใช้นิ้วกลางในการลงไฮไลต์อีกครั้งบริเวณ เปลือกตาที่นูนที่สุด ส่วนการลงลิปกลาสแบบทินท์ การใช้นิ้วแตะเบาๆ ก็ยังช่วยเกลี่ยให้ดูมันวาวได้ดีกว่าการใช้แปรงที่ทำให้ดูขาดมิติ รู้อย่างนี้แล้วก็ช่วย ประหยัดได้เยอะ จริงมั้ย

 

การแต่งหน้า ระวังเครื่องสำอางผสมน้ำปัสสาวะและสารเคมี

การแต่งหน้า ระวังเครื่องสำอางผสมน้ำปัสสาวะและสารเคมี
ระวังเครื่องสำอางผสมน้ำปัสสาวะและสาร เคมี (mcot)

          สำหรับผู้ที่ชอบซื้อเครื่องสำอางและน้ำหอมราคาถูกติดยี่ห้อหรูที่วางขายกัน เหมือนสินค้าพื้นๆ อาจต้องร้องยี้ ถ้ารู้ว่ามันมีส่วนผสมของน้ำปัสสาวะเพื่อใช้แทนสารกันเสียและมีส่วนผสมของ ทินเนอร์ด้วย ซึ่งอาจทำร้ายผิวและก่อให้เกิดภูมิแพ้ โดยเฉพาะครีมกันแดดราคาถูกที่ไม่มีสารป้องกันแสงแดดเลยก็จะทำให้ผิวไหม้แดด ได้

          ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สรรพากรในประเทศ เยอรมนีพบเครื่องสำอางและน้ำหอมปลอมเป็นจำนวนมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันได้นำมาจากประเทศเวียดนาม จีน ตุรกี ทีนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยก็ต้องระวังตัวด้วย อย่าเห็นแต่ของถูกล่ะ

การแต่งหน้า ครีมรองพื้น และ แป้ง แบบไหน เหมาะกับคุณ

การแต่งหน้า ครีมรองพื้น และ แป้ง แบบไหน เหมาะกับคุณ
รู้ได้ยังไงคะว่าครีมรองพื้นและแป้งแบบไหนจะเหมาะกับฉันมากที่สุด (Lisa)
          Q : ฉันจะรู้ได้ยังไงคะว่าครีมรองพื้นและแป้งแบบไหนจะเหมาะกับฉันมากที่สุด?
          A : หน้าที่หลักของครีมรองพื้น ก็คือ ช่วยทำให้สีผิวดูเรียบเสมอกัน แต่การจะรู้ว่าแบบไหนเหมาะกับคุณนั้น ก็ต้องดูที่ผิวหน้าของคุณเป็นหลักว่า คุณต้องการปกปิดขนาดไหน 
           ผู้หญิงที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอกัน ก็อาจจำเป็นต้องใช้ครีมรองพื้นหนาๆ ซึ่งมักจะมีส่วนผสมของน้ำมันที่ช่วยให้เนื้อรองพื้นทึบแสง

           ส่วนผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสี ผิวไม่เท่ากัน ครีมรองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำก็น่าจะเหมาะกว่า

           แต่ผู้หญิงบางคนมีสีผิวที่เรียบเสมอกัน อยู่แล้ว แต่ต้องการเติมสีสันให้ดูสวยขึ้น

          การใช้ครีมรองพื้นแบบใหม่ในรูปของมอยสเจอไรเซอร์ ซึ่งเจือสีสันลงไปนิดหน่อย ก็น่าจะเหมาะกับความต้องการที่สุด

          ส่วนในเรื่องของแป้ง ก็มักจะแบ่งตามการใช้งานของผู้ใช้ 
           ผู้หญิงบางคนที่มีผิวมันและต้องการควบ คุมความมันเป็นพิเศษ ก็ควรมองหาแป้งผสมรองพื้นแบบใหม่ที่เป็นเนื้อครีม แต่พอแห้งแล้วจะกลายเป็นเนื้อแป้งที่ไม่เลอะเลือนได้ง่ายๆ และควบคุมความมันได้เป็นอย่างดี

           แต่ผู้หญิงบางกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องควบ คุมความมันเป็นพิเศษ ก็อาจเลือกใช้แป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสงทาทับครีมรองพื้น เพื่อให้ครีมรองพื้นอยู่ตัวและไม่เป็นมันวาวก็พอ

          แต่การจะระบุลงไปให้ชัดว่า ครีมรองพื้นและแป้งแบบไหนที่เหมาะกับคุณจริงๆ ก็ควรลองผลิตภัณฑ์พวกนั้นกับผิวหน้าก่อน แล้วคุณจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าแบบไหนหรือสีไหนที่เหมาะกับคุณที่สุด

การแต่งหน้า คฉลากเครื่องสำอางน่ารู้

การแต่งหน้า คฉลากเครื่องสำอางน่ารู้
ฉลากเครื่องสำอางน่ารู้ (สุดสัปดาห์)  

         สิ่งสำคัญที่สาวๆ ไม่ควรมองข้ามในการใช้เครื่องสำอางคือ การอ่านฉลากอย่างละเอียด และทำความเข้าใจกันจนกระจ่างแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะมึนกับสัญลักษณ์และศัพท์เทคนิคที่เรียงกันเป็นตับ ขอแค่ซักซ้อมความเข้าใจตามนี้เลย

         ปกติฉลากเครื่องสำอางที่ผ่านการควบคุมจาก อย.แล้วจะต้องระบุข้อความเหล่านี้เป็นภาษาไทยไว้บนฉลาก ได้แก่

        ชื่อเครื่องสำอางและ / หรือชื่อทางการค้า

        ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง

        ชื่อส่วนประกอบที่สำคัญ

        ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต ถ้านำเข้าจะต้องแสดงชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิตด้วย

        วัน เดือน ปีที่ผลิต เช่น Manufactured ตามด้วยตัวเลขบอก วัน เดือน ปีที่ผลิต หรือวันหมดอายุ เช่น Best Before หรือ Used Before ตามด้วยวัน เดือน ปีที่หมดอายุไว้ด้วย

        วิธีใช้และคำเตือน

        ปริมาณสุทธิ

สัญลักษณ์ บอกอะไร

        สัญลักษณ์รีไซเคิล หมายถึง บรรจุภัณฑ์ชิ้นนี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้ ช่วยลดโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง

        สัญลักษณ์หนังสือ หรือหนังสือพร้อมมีมือชี้ หมายถึง ผู้ใช้ควรอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนใช้ เพราะอาจมีคำเตือนหรือข้อควรระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์ระบุอยู่ที่ฉลาก

        สัญลักษณ์กระป๋องเปิด แล้วมีตัวเลขกำกับไว้ ตามด้วย M (Month) หมายถึง ผลิตภัณฑ์นี้มีอายุเท่าไร (ระบุเป็นจำนวนเดือน) นับตั้งแต่เปิดให้เนื้อผลิตภัณฑ์สัมผัสอากาศ เช่น มาสคาราจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่การดึงก้านมาสคาราออกมาครั้งแรก หรือผลิตภัณฑ์หัวปั๊มก็นับตั้งแต่ทำการกดครั้งแรก

To Know คำศัพท์ที่พบบ่อยในผลิตภัณฑ์เสริมความงามทั้งหลาย

        Antioxidant = สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยปกป้องและลบเลือนริ้วรอย

        Non - Comedogenic = ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้รูขุมขนอุดตันอันเป็นสาเหตุของสิว

        Clinically Proven = ผ่านการทดสอบจากคลินิกของเครื่องสำอางยี่ห้อนั้นๆ แล้ว

        Dermatologist - Tested = ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนังแล้ว

        Hypo - Allergenic = มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้ได้น้อย จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย

        Retinol A = ส่วนผสมที่ช่วยลบเลือนริ้วรอย ร่องลึก

การแต่งหน้า คอนซีลเลอร์สารพัดประโยชน์

การแต่งหน้า คอนซีลเลอร์สารพัดประโยชน์
คอนซีลเลอร์สารพัดประโยชน์ (สุดสัปดาห์)  

          คนทั่วไปมักใช้คอนซีลเลอร์เพียงแค่ปกปิดรอยหมองคล้ำใต้ตา แต่คราวนี้เรามีวิธีใช้คอนซีลเลอร์ให้คุ้มค่าสมยุคเศรษฐกิจดิ่งมาฝาก

          ก่อนอื่นต้องสังเกต เนื้อของคอนซีลเลอร์ก่อนว่าตรงกับวัตถุประสงค์ที่จะใช้งานหรือไม่ คอนซีลเลอร์เนื้อเหลวจะปกปิดได้ไม่ดีเท่ากับชนิดเนื้อเข้มข้น แต่จะได้เปรียบเรื่องความเบาบาง ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า

          นอกจากนี้ยังต้องดูสี ด้วย โดยเฉด Yellow - based เหมาะสำหรับเพิ่มความสว่างบริเวณรอยหมองคล้ำ ส่วน Green - based จะใช้สำหรับอำพรางรอยแดงจากสิวหรือรอยแดงอื่นๆ

ส่วน เทคนิคการใช้คอนซีลเลอร์ให้คุ้มมี 3 ข้อได้แก่

1. อำพรางรอยหมองคล้ำใต้ดวงตา

          วิธีเร่งด่วนที่สุดคือ ก่อนแต่งหน้าทุกครั้งให้แต้มคอนซีลเลอร์ใต้ดวงตา 3 จุดเล็กๆ แล้วใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ให้กลืนกับสีผิว หรือใช้แปรงแบนสำหรับทาคอนซีลเลอร์โดยเฉพาะ เริ่มเกลี่ยจากบริเวณที่ชิดขอบตามากที่สุดออกมาบริเวณใต้ตาอย่างเบามือให้ เนียนเข้าสีผิว

2. ปกปิดจุดด่างดำ กระ และฝ้า

          แนะนำให้แต้มคอนซี ลเลอร์บริเวณที่มีจุดด่างดำขนาดใหญ่ก่อน จากนั้นลงรองพื้นให้ทั่วใบหน้าแล้วจึงใช้พู่กันปลายแหลมเล็กค่อยๆ แต้มคอนซีลเลอร์ทีละจุดเพื่อปกปิดรอยเล็กๆ ให้แนบเนียน สุดท้ายใช้แป้งฝุ่นตบเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า และระวังอย่าใช้พัฟฟ์ถูเด็ดขาด เพราะคอนซีลเลอร์ที่บรรจงแต้มมาจะหลุดได้

3. ปกปิดสิว

          จริงๆ แล้วไม่อยากแนะนำให้ปกปิดสิวที่กำลังแดงเป่งสักเท่าไร เพราะจะทำให้ผิวบริเวณนั้นไม่ได้หายใจ และอาจกลายเป็นยิ่งเน้นจุดสนใจเข้าไปใหญ่ แต่ในกรณีที่ต้องออกงานหรือมีการถ่ายรูปแนะนำให้ใช้คอนซีลเลอร์ชนิดแท่งหรือ ที่มีเนื้อ
เข้มข้น เริ่มจากการทามอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวมันหรือชนิดออยล์ฟรี เพื่อให้ผิวอ่อนนุ่มและไม่แห้งลอกเป็นขุย แล้วใช้พู่กันแตะคอนซีลเลอร์แต้มสิวเบาๆ แล้วใช้นิ้วแตะเบาๆ เพื่อให้สีกลมกลืนกันก่อนใช้แป้งฝ่นุ ปัดตามปกติ

tips

          ในกรณีที่ไม่อยากซื้อ คอนซีลเลอร์ไว้ในครอบครองหลายเฉดสี แนะนำให้ซื้อคอนซีลเลอร์ที่มีสีอ่อนกว่าผิวจริงหนึ่งเฉดสีจะใช้ได้คุ้มค่า ที่สุด

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

การแต่งหน้า เมื่อเป็นสิว

การแต่งหน้า เมื่อเป็นสิว

การแต่งหน้าเมื่อเป็นสิว (เดลินิวส์)
          ใครที่กำลังเป็นสิวเม็ดเล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้า แต่ว่าต้องออกไปโชว์ความสวยข้างนอก วันนี้นำเทคนิคการแต่งหน้ามาฝากกันค่ะ

          วิธีการ คือ ให้หาโลชั่นที่ระบุว่ามีส่วนผสมของ Salicylic Acid มาแต้มเบาๆ บนสิวหรือตุ่มนั้นทุกวัน พอถึงช่วงเวลาที่ต้องแต่งหน้า ให้ใช้น้ำแข็งก้อนเล็กๆ วางลงบนสิวสัก 40 วินาที เมื่อแต่งหน้าให้ใช้คอนซิลเลอร์ปกปิดริ้วรอยทาทับที่สิว แล้วจึงแต่งหน้าตามขั้นตอนตามปกติ แต่ที่สำคัญอย่าบีบสิวก่อนแต่งหน้า เพราะจะยิ่งทำให้มีการบวมซ้ำจนไม่อาจแต่งหน้ากลบเกลื่อนได้เนียนสนิทแน่นอน

          รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

 

การแต่งหน้า แต่งแต้มเรียวปากให้สวยได้หลากหลายสไตล์

การแต่งหน้า  แต่งแต้มเรียวปากให้สวยได้หลากหลายสไตล์
แต่งแต้มเรียวปากให้สวยได้หลากหลายสไตล์ (สุดสัปดาห์)  

         “ลิปสติก” เมคอัพชิ้นเก่งที่สาวๆ ต้องติดกระเป๋าไว้เพราะช่วยแต่งแต้มเรียวปากให้สวยได้หลากหลายสไตล์ลิปสติก แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร และเทคนิคการทาที่สาวๆ ควรรู้มีอะไรบ้าง ห้ามพลาด

Seductive Glossy Lip


         อยากให้เรียวปากดูอวบอิ่มและเซ็กซี่แบบสุดๆ ลิปกลอสเท่านั้นที่ช่วยได้ ด้วยส่วนผสมของแว็กซ์ช่วยให้เรียวปากดูแวววาว แถมยังเพิ่มมิติสะท้อนแสงช่วยให้ริมฝีปากดูอิ่มเอิบ โดยเฉพาะลิปกลอสที่มีส่วนผสมของกลิตเตอร์

         ถ้าต้องการลุคสวยใสสไตล์เกาหลีใช้เพียง ลิปกลอสอย่างเดียวก็ได้ แต่ถ้าอยากใช้ลิปสติกเนื้อครีมหรือเชียร์แท่งเก่าด้วย แนะนำให้ทาลิปสติกก่อนแล้วค่อยทาลิปกลอสโทนสีเดียวกันทับอีกครั้ง สีที่ได้จะให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเย้ายวนกว่าเดิม

Tips

         สาวริมฝีปากเล็กสามารถ ทาลิปกลอสได้ทั่วทั้งบนและล่างส่วนใครที่เรียวปากได้รูปอยู่แล้วอาจทาลิปก ลอสเน้นเฉพาะริมฝีปากล่างก็พอ แต่ถ้าใครมีเรียวปากค่อนข้างหนาควรทาเฉพาะกึ่งกลางริมฝีปากล่าง เพื่อให้เรียวปากไม่ดูใหญ่จนเกินงาม

         ใครมีปัญหาริมฝีปากคล้ำ ลองใช้รองพื้นเนื้อบางเบาหรือลิปเบสทาให้ทั่วเรียวปากบางๆ แล้วใช้ลิปสติกทาทับก่อนเพิ่มความสดใสด้วยลิปกลอสอีกครั้ง

Luscious Sheer Lip

         ลิปสติก เนื้อเชียร์ให้ความอิ่มเอิบและเงางามแก่เรียวปาก (แต่ไม่แวววาวเท่าลิปกลอส) มักจะมีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น วิตามินอี อโลเวรา และกลีเซอรีน ช่วยให้ริมฝีปากดูสุขภาพดีและไม่แตกแห้งเป็นขุย แต่ถึงอย่างไรก่อนทาลิปสติกทุกครั้ง สาวๆ ก็ยังควรนวดริมฝีปากด้วยลิปบาล์มก่อน เพื่อให้ริมฝีปากอ่อนนุ่มลงและไม่แห้งแตกเป็นร่อง

         ข้อดีของลิปเชียร์คือ ให้เนื้อสัมผัสเบาบางเป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ทำให้รู้สึกหนักปาก โดยลิปสติกสีอ่อนจะให้ความรู้สึกบางใสดูสุขภาพดี ส่วนสีเข้มก็สวยไม่จัดจนเกินไป

Tips

         ลิปสติกเนื้อเชียร์ ประกอบด้วยเนื้อครีมที่เจือจางและมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ค่อนข้างมาก ทำให้สีไม่ติดคงทน สาวๆ จึงควรทาลิปสติกให้ทั่ว จากนั้นใช้ทิชชูซับบนเรียวปาก ก่อนใช้แป้งฝุ่นไม่ผสมรองพื้นปัดทับ ปิดท้ายด้วยการทาลิปสติกทับอีกครั้ง เทคนิคนี้ช่วยให้ลิปสติกติดทนนานยิ่งขึ้นได้

Smooth Creamy Lip

         ลิปสติกเนื้อแน่นที่สุดต้องยกให้แบบเนื้อครีม ลักษณะเด่นคือ ให้สีสันชัดเจนตามที่เราเห็นจากแท่งซึ่งอาจมีความมันวาวอยู่บ้าง แต่ถ้าทาแล้วอยากให้สีดูด้านๆ ควรเลือกที่ระบุไว้ว่า “Matte”

         การที่ลิปสติกชนิดนี้มีความวาวน้อยทำ ให้มีคุณสมบัติติดทนนานที่สุด แต่ไม่เหมาะกับสาวที่มีริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย เพราะเมื่อทาไปแล้วจะยิ่งเห็นขุยและร่องแตกชัดมากขึ้น

         ลุคการแต่งหน้าที่เหมาะ กับลิปสติกเนื้อครีมจะเป็นแบบหรูและค่อนข้างดูเป็นทางการ ส่วนสาวเปรี้ยวที่แต่งหน้าน้อยๆ อาจใช้ลิปสติกเนื้อครีมสีสดสร้างจุดสนใจให้ใบหน้าก็ดูเก๋ไม่ใช่น้อย

Tips

         ก่อนทาลิปสติกเนื้อครีม ทุกครั้งควรใช้แปรงสีฟันหรือสครับขัดส่วนที่เป็นขุยออกให้ริมฝีปากเนียนนุ่ม ก่อน จากนั้นจึงทาลิปทรีตเม้นท์หรือลิปเอสเซ้นซ์เนื้อบางเบาเป็นพื้นเพื่อเพิ่ม ความชุ่มชื้นแต่ไม่มันวาว

         เคล็ดลับการทาลิปสติกให้เรียบเนียนสวยคือ ควรยิ้มเหยียดริมฝีปากออก แล้วใช้ พู่กันวาดที่รอยหยักของปากก่อนแล้วจึงตามด้วยกึ่งกลางริมฝีปากล่าง ก่อนจะลากพู่กันจากมุมปากไปบรรจบที่กึ่งกลาง

การแต่งหน้า ในเครื่องสำอางมีอะไรบ้าง

การแต่งหน้า ในเครื่องสำอางมีอะไรบ้าง
เครื่องสำอางก็สำคัญนะ (ตอนที่ 2) (Star Fashion )
          ฉบับที่แล้วเราได้กล่าว ถึงการแนะนำการเลือกซื้อเครื่องสำอางไปแล้วนะครับ ฉบับนี้ผมเลยอยากจะพูดถึงส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอางว่ามีอะไรบ้าง
 ส่วนประกอบหลักในเครื่องสำอาง

          ในเครื่องสำอางแต่ละชนิดมักจะมีการหลักเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิตจะใช้สารใดในกลุ่มนั้นๆ ซึ่งอาจจะต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ของส่วนผสมอื่น คุณภาพของสารจัดอยู่ในเกรดไหน คุณสมบัติตรงตามความต้องการหรือไม่ สีและกลิ่นเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดก็คือราคา เมื่อเลือกได้แล้วจึงผสมสารหลักต่างๆ ลงไปตามขั้นตอนของการทำเครื่องสำอางชนิดนั้นๆ สารหลักเหล่านั้นได้แก่

           1. น้ำ (Water)
          น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง มักจะใช้น้ำกลั่นเพื่อความบริสุทธิ์ ไม่มีสารเจือปนและปราศจากเชื้อโรค ในเครื่องสำอางแต่ละชนิด จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ เช่น ครีมมีส่วนที่เป็นน้ำและน้ำมันอยู่ด้วยกัน โลชั่นคือครีมที่มีน้ำมากกว่า ถ้าเป็นโทนเนอร์ก็จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากที่สุด

           2. น้ำมัน (Oil)
          ครีมทั่วไปจะมีน้ำมันหรือไขมันเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะมีสัดส่วนมากน้อยแตกต่างกันไป ผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า Oil-free นั้นจะมีส่วนที่เป็นน้ำมันน้อยแต่มีน้ำมาก ไขมันหรือน้ำมันประกอบไปด้วยกรดไขมันชนิดใดชนิดหนึ่ง และกลีเซอรีน (Glycerine) เป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างกรดไขมันทั้ง 2 ชนิด คือ กรดไขมันอิ่มตัว (Saturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fatty Acid)

          น้ำมันหรือไขมันที่เป็นส่วนประกอบในครีมบำรุงผิวนั้น ก็เพื่อป้องกันน้ำระเหยออกไปจากผิวหนัง การเลือกซื้อครีมที่เหมาะกับผิวก็ขึ้นอยู่กับชนิดของผิวแต่ละคน โลชั่นจะเหมาะกับคนผิวมันเนื่องจากมีส่วนที่เป็นน้ำมันน้อย ส่วนคนที่มีผิวแห้ง หรือตอนหน้าหนาวผิวแห้งก็อาจจะลองเปลี่ยนมาใช้ครีมแทน น้ำมันหรือไขมันไม่สามารถดูดซึมลึกลงไปในผิวหนังได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันที่มาจากพืชหรือสัตว์

           3. สารที่ทำให้ข้น (Consistance)

          น้ำกับน้ำมันเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีสารที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างน้ำกับน้ำมันให้อยู่ ด้วยกันได้ สารนั้นเรียกว่า Emulsifier ซึ่งเป็นตัวทำให้ข้น ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำเป็นต้องมีสารดังนี้ Lecitin, Lsopropyl Lanolate, Lsopropyl Myrsitate, Cococa Butter ฯลฯ

           4. สารที่ทำให้ลื่น (Emollient)
          เป็นสารที่ทำให้ส่วนผสมอื่นๆ ให้เกลี่ยหรือซึมได้ทั่วผิวหนัง สารที่ทำให้ลื่นมีหลายชนิด เช่น Propylene Glycol, Butylene Glycol, Polysrbates Glycol เป็นต้น

           5. สารดูดชับน้ำ (Huemactant)

          เป็นสารที่ช่วยให้ผิวรักษาน้ำไว้ได้ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน สารเหล่านี้มีหลายชนิด เช่น Hyaluronic Acid, NaPCA, Collagen, Elastin, Prtein, Amino Amino Acid ฯลฯ สารเหล่านี้เป็น Moisturizer ที่ดีสำหรับผิว แต่ไม่สามารถซึมเข้าไปในผิวได้

           6. สารกันเสีย (Preservative) และสาร Antioxidants

          ในการผลิตเครื่องสำอางต่างๆ ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญมากในทุกขั้นตอนการผลิต ภาชนะที่บรรจุต้องสะอาดปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์เสียหรือบูดได้ง่าย ดังนั้นในเครื่องสำอางส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องใส่สารกันเสียเพื่อยืดอายุ ผลิตภัณฑ์นั้นให้นานขึ้น สารกันเสียมีจุดประสงค์หลัก 2 ประการ คือ

          1. เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ
          2. เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เรียกสารชนิดนี้ว่า Antioxidants

           7. น้ำหอม (Perfume)

          ผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดมีการใส่น้ำหอมเพื่อให้มีกลิ่นหอมน่าใช้เป็นเอกลักษณ์ ความจริงแล้วน้ำหอมไม่ได้มีส่วนในการออกฤทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ให้กลิ่นหอมเท่านั้น ดังนั้นหากคุณมีผิวที่แพ้ง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมดีกว่า น้ำหอมแบ่งออกได้ 3 ชนิด คือ

          1. Natural Perfume เป็นน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ
          2. Natural ldentic Perfume หมายถึงน้ำหอมที่มีส่วนประกอบและกลิ่นเหมือนกับน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ
          3. Perfume Synthetic คือน้ำหอมกลิ่นสังเคราะห์ที่ไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมที่ได้จากธรรมชาติ

           8. สี (Color)

          เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการผลิตเครื่องสำอาง สีที่ใช้ในเครื่องสำอางบางชนิดก็เพื่อให้เกิดความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เท่า นั้น แต่ในเครื่องสำอางบางชนิดสีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมาก เช่น แป้งผัดหน้าที่มีสีเนื้อโทนต่างๆ ลิปสติก อายแชโดว์ ดินสอเขียนคิ้ว หรือน้ำยาโกรกสีผม เป็นต้น

           9. อื่นๆ
          อาทิเช่น สารสกัดจากพืชหรือสมุนไพร (Herb Extract), วิตามิน (Vitamin), สารซักฟอก (Detergent), สารสมานผิว (Astringent)

          เรา ก็ได้รู้กันไปแล้วว่าเครื่องสำอางที่เราใช้อยู่กันเป็นประจำนี้มีส่วนประกอบ อะไรบ้าง ฉบับหน้าผมมีคำแนะนำในการใช้เครื่องสำอางมาฝากครับ

การแต่งหน้า สวยเร่งด่วน กับเครื่องสำอางนาโน

การแต่งหน้า สวยเร่งด่วน กับเครื่องสำอางนาโน
สวยเร่งด่วนกับ "เครื่องสำอางนาโน" (Health & Cuicine)

          นาโน คือ รูปแบบของสิ่งที่มีขนาดเล็กมาก ในทางฟิสิกส์ นาโนเป็นหน่วยวัดที่มีขนาดความเล็กถึง 10-9 นาโนเทคโนโลยี จึงเป็นกระบวนการย่อขนาดโมเลกุลของสารต่างๆ ให้เล็กลง เพื่อเสริมคุณสมบัติพิเศษ เช่น กันน้ำ ซึมซาบได้ดี ช่วยเพิ่มการสะท้อนรังสี ยับยั้งการเกิดและเติบโตของแบคทีเรีย เป็นต้น

          โดยทั่วไปคนมักเข้าใจผิดกันมากว่า เครื่องสำอางนาโน คือ เครื่องสำอางที่มีนาโนเป็นสารประกอบ เช่นเดียวกับสารชนิดอื่นๆ เช่น วิตามิน คอลลาเจน แต่จริงๆ แล้ว เครื่องสำอางนาโนเป็นเครื่องสำอางที่ใช้ขั้นตอนการผลิตแบบนาโน ดังต่อไปนี้

          - การย่อขนาด เดิมทีสารบำรุงในเครื่องสำอาง เช่น โลชั่นหรือครีม จะมีเป็นสารอนุภาค ใหญ่กว่าอนุภาคขนาดนาโนประมาณ 1,000 เท่า เปรียบเหมือนลูกมะนาวกับเม็ดทราย ซึ่งโมเลกุลใหญ่จะซึมเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ไม่ได้ เทคโนโลยีนาโน จึงถูกนำมาใช้ในกระบวนการย่อขนาดสารบำรุง เพื่อให้ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

          - ตัวขนส่งสาร วิธีการนี้นาโน เปรียบได้กับยานพาหนะที่มีลักษณะเหมือนแคปซูลขนาดมินิ (Encapsulation) นำสารเสริมความงามต่างๆ เข้าไปยังเซลล์ผิว โดยผลการทดลองกับโคเอนไซม์คิวเทน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระพบว่า วิธีการนี้ช่วยลดการสูญสลายของสาร ขณะซึมลึกเข้าสู่ผิว และลดการระคายเคืองของผิวหนังได้ดีขึ้น

          ผลิตภัณฑ์นาโน มีอะไรบ้าง

          1. ครีมกันแดด ชนิดที่มีส่วนผสมของอนุภาคนาโนกลุ่มโลหะออกไซด์ เช่น ซิงค์ออกไซด์ (ZnO) และไททาเนียมออกไซด์ (TiO2) เป็นส่วนประกอบ จะสะท้อนรังสี UVA และ UVB ได้ดีกว่าครีมกันแดดประเภทฟิสิคอล (Physical Sun block) และไม่เกิดคราบขาวหลังทา

          2. โลชั่นและครีมบำรุงผิว ด้วยเทคโนโลยีนาโนช่วยให้ครีมที่มี ส่วนผสมของสารโคเอนไซม์คิวเทนหรือวิตามิน ต่างๆ ซึมซาบเข้าบำรุงได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดการสลายตัวของวิตามินเมื่อสัมผัสกับแสงหรือออกซิเจนได้ด้วย

          3. สารสกัดสมุนไพรเพื่อผลิตเวชสำอาง และผลิตภัณฑ์สปา เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ลบเลือนริ้วรอยจาก ใบบัวบก มะขามป้อม และใบหม่อน เซรั่มช่วยให้ผมดกดำจากน้ำมันรำข้าว ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างนาโนเทคและมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัย ภูเบศร

          4. โรลออนและแป้งทาตัวสูตรยับยั้งแบคทีเรีย ใช้นาโนเพื่อเพิ่มคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรีย โดยจากการทดสอบอาสาสมัคร 30 คน เพื่อดูการระคายเคือง ความเป็นพิษต่อผิวหนัง และประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย พบว่า ยับยั้งแบคทีเรียได้ 100 เปอร์เซ็นต์และไม่ทำให้แพ้ ปัจจุบันยังไม่มีหลักในการสังเกตว่าเครื่องสำอางชนิดใดผลิตด้วยนาโน เทคโนโลยี การเลือกซื้อจึงทำได้เพียงแค่ดูฉลากที่ระบุว่าเป็น Nanotech Products ควบคู่กับเครื่องหมายรับรองสินค้าจากองค์การอาหารและยา

          นาโน ปลอดภัยแค่ไหน

          การจะพิจารณาว่าเครื่องสำอางนาโนนั้นๆ มีความปลอดภัยหรือไม่ ต้องดูจากสารที่ถูกย่อขนาด หากเป็นสมุนไพรหรือวิตามินที่ร่างกายมีอยู่ตามธรรมชาติ ก็หมดกังวลเรื่องพิษหรือการแพ้ได้ระดับหนึ่ง แต่หากเป็นเครื่องสำอางนาโนประเภทที่ผสมสารสังเคราะห์หรือสารเคมี เช่น สีในเมคอัพ ก็อาจทำให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้

          นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อธิบายว่า... "ผู้ผลิตได้นำนวัตกรรมนาโนมาใช้กับเครื่องสำอาง เพื่อช่วยให้สีเกาะติดผิวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น เพราะอนุภาคที่เล็กของสารเคมี อาจซึมลึกเข้าสู่เซลล์ผิวและกระแสเลือด เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน เมื่อสะสมมากๆ อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้"  

          เพื่อความปลอดภัยในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์นาโน ปัจจุบันศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข จัดตั้งโปรแกรมความปลอดภัยของวัสดุนาโน (Nanomaterials Safety Program) ขึ้นเพื่อศึกษาวิจัยความเป็นพิษของวัสดุนาโนชนิดต่างๆ และตั้งมาตรฐานในการควบคุมเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีวัสดุนาโนเป็นส่วนผสม โดยเบื้องต้นได้เปิดให้หน่วยงานต่างๆ ส่งตัวอย่างสินค้าเข้าไปทดสอบความปลอดภัย คาดว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะมีเครื่องสำอางนาโน ที่การันตีความปลอดภัยออกมาให้เลือกสรรกันมากขึ้น